อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งชาวยิวและชาวคริสต์ที่พวกเขายึดหลุมฝังศพของบรรดานบีของพวกเขาเป็นมัสยิด ข้าคือผู้ที่สูงส่งเหนือการมีหุ้นส่วนทั้งหลาย บริสุทธิ์จากการตั้งภาคี ใครก็ตามที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีการตั้งภาคีกับสิ่งอื่นร่วมกับข้า ข้าจะละทิ้งสิ่งนั้น และสิ่งที่เป็นภาคีนั้น แท้จริงแล้ว ฉันได้แสดงความบริสุทธิ์ไปยังอัลลอฮ์ที่จะให้มีคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้าเป็นเคาะลีล (ผู้เป็นที่รัก) สำหรับฉัน แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเลือกฉันเป็นเคาะลีลของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเลือกอิบรอฮีมเป็นเคาะลีลของพระองค์ “แท้จริงอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงหึงหวง และแท้จริงผู้ศรัทธาก็หึงหวง และความหึงหวงของอัลลอฮ์ ตะอาลา จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ศรัทธากระทำสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามเขา” พวกเจ้าอย่าได้กล่าวยกย่องฉัน (จนเกินเลย) อย่างที่ชาวคริสเตียนได้ยกย่อง (อีซา) บุตรของนางมัรยัม เพราะแท้จริง ฉันคือบ่าวของอัลลอฮ์ ดังนั้น พวกท่านจงกล่าวว่า บ่าวของอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ มนุษย์ที่จะมีความสุขที่สุดจากการได้รับการช่วยเหลือของฉันในวันกิยามะฮ์นั้นคือ ผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” อัลลอฮ์จะทรงให้เขาได้เข้าสวรรค์ไม่ว่าเขาจะมีความดีกี่มากน้อยก็ตาม ใครก็ตามที่เสียชีวิตไปโดยเขาได้ขอต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์เพื่อเป็นภาคีเขาต้องตกนรกอย่างแน่นอน ผู้เคร่งครัดเกินขอบเขตในเรื่องศาสนา ได้พินาศย่อยยับแล้ว อัลลอฮ์ได้ทรงบันทึกความดีและความชั่ว แล้วพระองค์ได้ทรงอธิบายสิ่งดังกล่าว ดังนั้นผู้ใดที่ตั้งใจจะทำความดี แต่ไม่ได้ลงมือทำความดีนั้น อัลลอฮ์จะทรงบันทึกมันไว้ที่พระองค์เป็นหนึ่งความดีเต็มๆ และหากเขาตั้งใจจะทำความดี แล้วได้ลงมือทำความดีนั้น อัลลอฮ์จะทรงบันทึกมันไว้ที่พระองค์เป็นความดีสิบเท่าถึงเจ็ดร้อยเท่า หรืออีกหลายๆ เท่า และผู้ใดที่ตั้งใจจะทำความชั่ว แต่ไม่ได้ลงมือทำความชั่วนั้น อัลลอฮ์จะทรงบันทึกมันไว้ที่พระองค์เป็นหนึ่งความดีเต็มๆ และหากเขาตั้งใจจะทำความชั่ว แล้วได้ลงมือทำความชั่วนั้น อัลลอฮ์จะทรงบันทึกมันไว้เป็นหนึ่งความชั่ว แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงมองที่รูปร่างหน้าตาหรือความมั่งคั่งของพวกเจ้า แต่พระองค์จะทรงมองที่จิตใจและการกระทำของพวกเจ้า โอ้ บ่าวของข้าทั้งหลาย แท้จริงข้าได้ทำให้การอธรรมเป็นที่ต้องห้ามแก่ตัวข้าเอง และข้าได้ทำให้มันเป็นที่ต้องห้ามระหว่างพวกเจ้าด้วย ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่าได้อธรรมต่อกัน ฉันถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า บาปใดที่ใหญ่หลวงที่สุด ณ อัลลอฮ์? ท่านกล่าวว่า “การที่เจ้ากำหนดสิ่งอื่นมาเทียบเท่าอัลลอฮ์ทั้งที่พระองค์ทรงสร้างเจ้ามา แท้จริงอัลลอฮ์จะประวิงเวลาให้กับผู้ที่อธรรม จนเมื่อพระองค์จัดการกับเขา พระองค์จะไม่ให้เขาเล็ดลอดไปได้ ฉันจะส่งท่านไปทำหน้าที่ ที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัมเคยส่งฉันไป จะเอาไหม? คือการที่ท่านอย่าได้ปล่อยให้มีรูปปั้นแม้แต่รูปเดียว นอกจากท่านจะต้องทำลายมันทิ้ง และอย่าปล่อยให้หลุมฝังศพที่มันดูสูงโดดเด่นแม้แต่หลุมเดียว นอกจากท่านจะทำให้มันเรียบกับพื้นดิน บาปที่ใหญ่ที่สุด คือ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ความรู้สึกปลอดภัยจากอุบาย(การลงโทษ)ของอัลลอฮฺ การสิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ และการเบื่อหน่ายต่อความเมตตาของอัลลอฮฺ เพื่อสั่งให้พวกเขาอย่าทำการแขวนสิ่งใดๆ ที่คอของอูฐ ไม่ว่าจะเป็นสายธนู หรือสิ่งอื่นใด เว้นแต่จะต้องถูกตัดทิ้ง ผู้ใดที่แขวนสิ่งๆหนึ่ง (โดยหวังว่าสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์หรือสามารถป้องกันตัวเองได้) ดังนั้นอัลลอฮฺจะทำให้คนๆ นั้นต้องพึ่งพาสิ่งนั้นตลอด ใครที่กล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" ความว่า (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากอัลลอฮฺ) และปฏิเสธทุกสิ่งที่ถูกสักการะอื่นจากอัลลอฮฺ ทรัพย์สินและเลือดเนื้อของเขาจะเป็นที่ต้องห้าม และการคิดบัญชีที่มีต่อเขานั้นเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ “บรรดาผู้มีความเมตตาจะได้รับความเมตตาจากพระผู้ทรงเมตตา จงเมตตาต่อผู้ที่อยู่ในแผ่นดิน ผู้ที่อยู่บนท้องฟ้าจะเมตตาพวกเจ้า คำพูดที่เป็นเรื่องจริงนั้นเป็นคำที่ญินไปแอบฟังมา แล้วกระซิบใส่หูของผู้ทำนายของเขาด้วยเสียงที่คล้ายกับเสียงไก่ขัน จากนั้นพวกมันก็เพิ่มคำโกหกมากกว่าร้อยข้อเข้าไป ไม่มีบ่าวคนใดที่กล่าวคำปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺด้วยความเชื่อมั่นในใจของเขา เว้นแต่อัลลอฮฺจะทำให้เขาเป็นที่ต้องห้ามสำหรับนรก พระผู้อภิบาลของเรา จะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าดุนยา ในช่วงเวลา หนึ่งส่วนสามสุดท้ายของกลางคืน พวกท่านอย่าได้นั่งบนหลุมฝังศพ และอย่าได้ละหมาดด้วยการหันไปทางมัน พวกเขาคือกลุ่มชนที่หากในหมู่พวกเขามีบ่าวที่ศอลิห์หรือคนศอลิห์เสียชีวิต พวกเขาก็จะสร้างมัสยิดบนหลุมศพของเขา “อิสลามถูกสร้างขึ้นบนหลักห้าประการ แท้จริงสิทธิที่อัลลอฮ์ต้องได้รับจากบ่าว คือการเคารพสักการะต่อพระองค์เพียงผู้เดียว และไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ และสิทธิที่บ่าวจะได้รับจากอัลลอฮ์ก็คือการที่พระองค์ไม่ลงโทษผู้ที่ไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ด้วยสิ่งใดๆ ผู้ใดเสียชีวิตโดยที่เขาไม่ได้ตั้งภาคีใดๆ ต่ออัลลอฮ์ เขาจะได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน และผู้ใดเสียชีวิตโดยที่เขาได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ เขาจะได้เข้านรกอย่างแน่นอน ได้โปรดบอกถ้อยคำหนึ่งให้แก่ฉันที่เกี่ยวกับอิสลามที่เป็นถ้อยคำที่ฉันไม่ต้องถามผู้อื่นนอกจากท่านด้วยเถิด” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า: “ท่านจงกล่าวเถิดว่า ฉันได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว หลังจากนั้นก็จงยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ “แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ทรงห้ามไม่ให้พวกเจ้าทำการสาบานต่อบรรพบุรุษของพวกเจ้า พวกท่านจงอย่ากล่าวคำว่า: “มาชาอัลลอฮ์ วะชาอะ ฟุลาน” (เป็นความประสงค์ของอัลลอฮ์และความประสงค์ของคนนั้น) แต่จงกล่าวว่า “มาชาอัลลอฮ์ ษุมมะ มาชาอะ ฟุลาน” (มันเป็นความประสงค์ของอัลลอฮ์จากนั้นเป็นความประสงค์ของคนนั้น) พวกเจ้ารู้ไหมว่าพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้กล่าวไว้อย่างไร?" พวกเขาตอบว่า "อัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้ดียิ่ง" ท่านกล่าวต่อว่า "พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า: "ส่วนหนึ่งจากบ่าวของข้าตื่นขึ้นมามีทั้งผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา แท้จริงพวกเรา รู้สึกมีอะไรบางอย่างในบางคนในหมู่พวกเราเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าพวกเราจะพูดถึงมัน ท่านกล่าวว่า "และแน่นอน พวกเจ้าได้พบมันแล้วใช่ไหม? พวกเขาตอบว่า "ใช่" ท่านตอบว่า "นั่นเป็นการแสดงถึงการศรัทธาที่ชัดแจ้ง อัลหัมดุลิลลาฮ์ ที่พระองค์ทรงทำให้แผนการของชัยฏอนนั้นเป็นได้แค่การกระซิบ ชัยฏอนจะมาหาคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้า แล้วมันกล่าวว่า “ใครสร้างสิ่งนั้น? ใครสร้างสิ่งนี้?” สุดท้ายมันก็ถามว่า “ใครสร้างอัลลอฮ์” ดังนั้น เมื่อคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้าได้พบกับเรื่องเช่นนี้ ก็จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ และให้จบแค่นั้น” แท้จริง อัลลอฮ์จะไม่อธรรมต่อผู้ศรัทธาแม้จะเป็นความดีแค่หนึ่งเดียว โดยพระองค์จะตอบแทนให้บนโลกนี้ และให้การตอบแทนในวันอาคิเราะฮ์ “อัลลอฮ์จะทรงกำแผ่นดินและทรงม้วนชั้นฟ้าทั้งหลายด้วยมือขวาของพระองค์ แล้วพระองค์จะตรัสว่า “ฉันคือกษัตริย์ บรรดากษัตริย์ในโลกนี้อยู่ที่ไหน? ฉันคือดิมาม บิน ษะละบะฮ์ จากพี่น้องของบนูสะอัด บิน บักร์ พระองค์ผู้ทรงให้พวกเขาสามารถเดินด้วยเท้าได้บนโลกดุนยานี้ จะไม่ทรงสามารถทำให้พวกเขาเดินด้วยใบหน้าในวันกิยามะฮ์ได้อย่างนั้นหรือ?