عَنْ صُهَيْبٍ رَضيَ اللهُ عنه أَنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ:
"كَانَ مَلِكٌ فِيمَنْ كَانَ قَبْلَكُمْ، وَكَانَ لَهُ سَاحِرٌ، فَلَمَّا كَبِرَ، قَالَ لِلْمَلِكِ: إِنِّي قَدْ كَبِرْتُ، فَابْعَثْ إِلَيَّ غُلَامًا أُعَلِّمْهُ السِّحْرَ، فَبَعَثَ إِلَيْهِ غُلَامًا يُعَلِّمُهُ، فَكَانَ فِي طَرِيقِهِ إِذَا سَلَكَ رَاهِبٌ فَقَعَدَ إِلَيْهِ وَسَمِعَ كَلَامَهُ، فَأَعْجَبَهُ، فَكَانَ إِذَا أَتَى السَّاحِرَ مَرَّ بِالرَّاهِبِ وَقَعَدَ إِلَيْهِ، فَإِذَا أَتَى السَّاحِرَ ضَرَبَهُ، فَشَكَا ذَلِكَ إِلَى الرَّاهِبِ، فَقَالَ: إِذَا خَشِيتَ السَّاحِرَ، فَقُلْ: حَبَسَنِي أَهْلِي، وَإِذَا خَشِيتَ أَهْلَكَ فَقُلْ: حَبَسَنِي السَّاحِرُ، فَبَيْنَمَا هُوَ كَذَلِكَ إِذْ أَتَى عَلَى دَابَّةٍ عَظِيمَةٍ قَدْ حَبَسَتِ النَّاسَ، فَقَالَ: الْيَوْمَ أَعْلَمُ آلسَّاحِرُ أَفْضَلُ أَمِ الرَّاهِبُ أَفْضَلُ؟ فَأَخَذَ حَجَرًا، فَقَالَ: اللهُمَّ إِنْ كَانَ أَمْرُ الرَّاهِبِ أَحَبَّ إِلَيْكَ مِنْ أَمْرِ السَّاحِرِ فَاقْتُلْ هَذِهِ الدَّابَّةَ، حَتَّى يَمْضِيَ النَّاسُ، فَرَمَاهَا فَقَتَلَهَا، وَمَضَى النَّاسُ، فَأَتَى الرَّاهِبَ فَأَخْبَرَهُ، فَقَالَ لَهُ الرَّاهِبُ: أَيْ بُنَيَّ أَنْتَ الْيَوْمَ أَفْضَلُ مِنِّي، قَدْ بَلَغَ مِنْ أَمْرِكَ مَا أَرَى، وَإِنَّكَ سَتُبْتَلَى، فَإِنِ ابْتُلِيتَ فَلَا تَدُلَّ عَلَيَّ، وَكَانَ الْغُلَامُ يُبْرِئُ الْأَكْمَهَ وَالْأَبْرَصَ، وَيُدَاوِي النَّاسَ مِنْ سَائِرِ الْأَدْوَاءِ، فَسَمِعَ جَلِيسٌ لِلْمَلِكِ كَانَ قَدْ عَمِيَ، فَأَتَاهُ بِهَدَايَا كَثِيرَةٍ، فَقَالَ: مَا هَاهُنَا لَكَ أَجْمَعُ، إِنْ أَنْتَ شَفَيْتَنِي، فَقَالَ: إِنِّي لَا أَشْفِي أَحَدًا إِنَّمَا يَشْفِي اللهُ، فَإِنْ أَنْتَ آمَنْتَ بِاللهِ دَعَوْتُ اللهَ فَشَفَاكَ، فَآمَنَ بِاللهِ فَشَفَاهُ اللهُ، فَأَتَى الْمَلِكَ فَجَلَسَ إِلَيْهِ كَمَا كَانَ يَجْلِسُ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ: مَنْ رَدَّ عَلَيْكَ بَصَرَكَ؟ قَالَ: رَبِّي، قَالَ: وَلَكَ رَبٌّ غَيْرِي؟ قَالَ: رَبِّي وَرَبُّكَ اللهُ، فَأَخَذَهُ فَلَمْ يَزَلْ يُعَذِّبُهُ حَتَّى دَلَّ عَلَى الْغُلَامِ، فَجِيءَ بِالْغُلَامِ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ: أَيْ بُنَيَّ قَدْ بَلَغَ مِنْ سِحْرِكَ مَا تُبْرِئُ الْأَكْمَهَ وَالْأَبْرَصَ، وَتَفْعَلُ وَتَفْعَلُ، فَقَالَ: إِنِّي لَا أَشْفِي أَحَدًا، إِنَّمَا يَشْفِي اللهُ، فَأَخَذَهُ فَلَمْ يَزَلْ يُعَذِّبُهُ حَتَّى دَلَّ عَلَى الرَّاهِبِ، فَجِيءَ بِالرَّاهِبِ، فَقِيلَ لَهُ: ارْجِعْ عَنْ دِينِكَ، فَأَبَى، فَدَعَا بِالْمِئْشَارِ، فَوَضَعَ الْمِئْشَارَ فِي مَفْرِقِ رَأْسِهِ، فَشَقَّهُ حَتَّى وَقَعَ شِقَّاهُ، ثُمَّ جِيءَ بِجَلِيسِ الْمَلِكِ فَقِيلَ لَهُ: ارْجِعْ عَنْ دِينِكَ، فَأَبَى فَوَضَعَ الْمِئْشَارَ فِي مَفْرِقِ رَأْسِهِ، فَشَقَّهُ بِهِ حَتَّى وَقَعَ شِقَّاهُ، ثُمَّ جِيءَ بِالْغُلَامِ فَقِيلَ لَهُ ارْجِعْ عَنْ دِينِكَ، فَأَبَى فَدَفَعَهُ إِلَى نَفَرٍ مِنْ أَصْحَابِهِ، فَقَالَ: اذْهَبُوا بِهِ إِلَى جَبَلِ كَذَا وَكَذَا، فَاصْعَدُوا بِهِ الْجَبَلَ، فَإِذَا بَلَغْتُمْ ذُرْوَتَهُ، فَإِنْ رَجَعَ عَنْ دِينِهِ، وَإِلَّا فَاطْرَحُوهُ، فَذَهَبُوا بِهِ فَصَعِدُوا بِهِ الْجَبَلَ، فَقَالَ: اللهُمَّ اكْفِنِيهِمْ بِمَا شِئْتَ، فَرَجَفَ بِهِمِ الْجَبَلُ فَسَقَطُوا، وَجَاءَ يَمْشِي إِلَى الْمَلِكِ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ: مَا فَعَلَ أَصْحَابُكَ؟ قَالَ: كَفَانِيهِمُ اللهُ، فَدَفَعَهُ إِلَى نَفَرٍ مِنْ أَصْحَابِهِ، فَقَالَ: اذْهَبُوا بِهِ فَاحْمِلُوهُ فِي قُرْقُورٍ، فَتَوَسَّطُوا بِهِ الْبَحْرَ، فَإِنْ رَجَعَ عَنْ دِينِهِ وَإِلَّا فَاقْذِفُوهُ، فَذَهَبُوا بِهِ، فَقَالَ: اللهُمَّ اكْفِنِيهِمْ بِمَا شِئْتَ، فَانْكَفَأَتْ بِهِمِ السَّفِينَةُ فَغَرِقُوا، وَجَاءَ يَمْشِي إِلَى الْمَلِكِ، فَقَالَ لَهُ الْمَلِكُ: مَا فَعَلَ أَصْحَابُكَ؟ قَالَ: كَفَانِيهِمُ اللهُ، فَقَالَ لِلْمَلِكِ: إِنَّكَ لَسْتَ بِقَاتِلِي حَتَّى تَفْعَلَ مَا آمُرُكَ بِهِ، قَالَ: وَمَا هُوَ؟ قَالَ: تَجْمَعُ النَّاسَ فِي صَعِيدٍ وَاحِدٍ، وَتَصْلُبُنِي عَلَى جِذْعٍ، ثُمَّ خُذْ سَهْمًا مِنْ كِنَانَتِي، ثُمَّ ضَعِ السَّهْمَ فِي كَبِدِ الْقَوْسِ، ثُمَّ قُلْ: بِاسْمِ اللهِ رَبِّ الْغُلَامِ، ثُمَّ ارْمِنِي، فَإِنَّكَ إِذَا فَعَلْتَ ذَلِكَ قَتَلْتَنِي، فَجَمَعَ النَّاسَ فِي صَعِيدٍ وَاحِدٍ، وَصَلَبَهُ عَلَى جِذْعٍ، ثُمَّ أَخَذَ سَهْمًا مِنْ كِنَانَتِهِ، ثُمَّ وَضَعَ السَّهْمَ فِي كَبْدِ الْقَوْسِ، ثُمَّ قَالَ: بِاسْمِ اللهِ، رَبِّ الْغُلَامِ، ثُمَّ رَمَاهُ فَوَقَعَ السَّهْمُ فِي صُدْغِهِ، فَوَضَعَ يَدَهُ فِي صُدْغِهِ فِي مَوْضِعِ السَّهْمِ فَمَاتَ، فَقَالَ النَّاسُ: آمَنَّا بِرَبِّ الْغُلَامِ، آمَنَّا بِرَبِّ الْغُلَامِ، آمَنَّا بِرَبِّ الْغُلَامِ، فَأُتِيَ الْمَلِكُ فَقِيلَ لَهُ: أَرَأَيْتَ مَا كُنْتَ تَحْذَرُ؟ قَدْ وَاللهِ نَزَلَ بِكَ حَذَرُكَ، قَدْ آمَنَ النَّاسُ، فَأَمَرَ بِالْأُخْدُودِ فِي أَفْوَاهِ السِّكَكِ، فَخُدَّتْ وَأَضْرَمَ النِّيرَانَ، وَقَالَ: مَنْ لَمْ يَرْجِعْ عَنْ دِينِهِ فَأَحْمُوهُ فِيهَا، أَوْ قِيلَ لَهُ: اقْتَحِمْ، فَفَعَلُوا حَتَّى جَاءَتِ امْرَأَةٌ وَمَعَهَا صَبِيٌّ لَهَا فَتَقَاعَسَتْ أَنْ تَقَعَ فِيهَا، فَقَالَ لَهَا الْغُلَامُ: يَا أُمَّهْ اصْبِرِي فَإِنَّكِ عَلَى الْحَقِّ".
[صحيح] - [رواه مسلم] - [صحيح مسلم: 3005]
المزيــد ...
จากศุฮ็อยบ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า: ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
"มีพระราชาองค์หนึ่งในหมู่ประชาชาติที่อยู่ก่อนหน้าพวกท่าน และเขามีนักไสยศาสตร์คนหนึ่ง เมื่อนักไสยศาสตร์แก่ตัวลง เขากล่าวแก่พระราชาว่า: "'ข้าพเจ้าแก่แล้ว ขอพระองค์โปรดส่งเด็กชายคนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะสอนเวทมนตร์แก่เขา" พระราชาจึงส่งเด็กชายคนหนึ่งมาให้เพื่อเรียนเวทมนตร์ เด็กชายคนนั้น เมื่อเดินทางไปหานักไสยศาสตร์ ก็มักจะผ่านนักบวชคนหนึ่ง และได้นั่งกับเขาและฟังคำพูดของเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกชอบใจ จากนั้นทุกครั้งที่เขาไปหานักไสยศาสตร์ เขาจะผ่านนักบวชและนั่งกับเขา เมื่อไปถึงนักไสยศาสตร์ก็จะถูกทำโทษ (เพราะมาสาย) เด็กชายจึงไปบ่นกับนักบวช นักบวชกล่าวว่า: "ถ้าเธอกลัวพ่อมดก็จงบอกเขาว่า: ครอบครัวข้าพเจ้ากักตัวข้าไว้ และถ้าเธอกลัวครอบครัวก็จงบอกว่า: พ่อมดกักตัวข้าไว้" วันหนึ่ง ขณะที่เด็กชายเดินทาง ก็พบสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ขวางทางผู้คนอยู่ เขาจึงกล่าวว่า: "วันนี้ฉันจะรู้ว่า ใครดีกว่ากัน ระหว่างพ่อมดกับนักบวช?" เขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วกล่าวว่า: "โอ้อัลลอฮ์! หากเรื่องของนักบวชเป็นที่รักยิ่งสำหรับพระองค์มากกว่าเรื่องของพ่อมด ก็ขอพระองค์ทรงให้สัตว์ตัวนี้ตายลง เพื่อให้ผู้คนผ่านไปได้" จากนั้นเขาโยนก้อนหินไปที่สัตว์นั้น แล้วมันก็ตาย และผู้คนก็สามารถเดินผ่านไปได้ เขาจึงไปหานักบวชแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง นักบวชกล่าวว่า: "โอ้ลูกเอ๋ย! วันนี้เธอมีสถานะเหนือกว่าข้าแล้ว แน่นอนเรื่องของเธอได้ไปถึงขั้นที่ข้าเห็นแล้ว และแท้จริงเธอจะถูกทดสอบ ดังนั้นหากเธอถูกทดสอบ อย่าได้เปิดเผยตัวข้า (อย่าบอกใครเกี่ยวกับข้า)" และชายหนุ่มคนนั้นสามารถรักษาผู้ที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด และโรคเรื้อน และรักษาผู้คนจากโรคต่าง ๆ ได้ทั้งหมด
มีข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์ ซึ่งเขาตาบอด ได้ยินเรื่องของเขา จึงนำของขวาจำนวนมากมาให้และกล่าวว่า:"ทุกอย่างที่นี่จะเป็นของเจ้า หากเจ้ารักษาข้าได้" ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า: "ฉันไม่สามารถรักษาใครได้ แต่อัลลอฮ์ต่างหากที่ทรงรักษา หากท่านศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ฉันจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ และพระองค์จะทรงรักษาท่าน"
เขาจึงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงรักษาเขาให้หายดี เมื่อเขากลับไปหากษัตริย์และนั่งอยู่ตามเดิม กษัตริย์จึงถามเขาว่า:
"ใครเป็นคนทำให้สายตาของเจ้ากลับมา?" เขาตอบว่า:
"พระเจ้าของข้า"กษัตริย์กล่าวว่า: "เจ้ามีพระเจ้าอื่นที่ไม่ใช่ข้าด้วยหรือ?" เขาตอบว่า:"พระเจ้าของข้าและของท่านก็คืออัลลอฮ์"
กษัตริย์จึงจับเขา และไม่หยุดทรมานเขาจนกว่าเขาจะเปิดเผยเรื่องของชายหนุ่ม จากนั้นก็จับชายหนุ่มมา แล้วกษัตริย์กล่าวกับเขาว่า:
‘โอ้ เด็กน้อย! วิชาของเจ้าได้ก้าวไกลถึงขนาดที่เจ้าสามารถรักษาผู้ตาบอดและผู้เป็นโรคเรื้อนได้ เจ้าทำได้และทำได้...’ ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า:"ฉันไม่สามารถรักษาใครได้ อัลลอฮ์ต่างหากที่ทรงรักษา"
กษัตริย์จึงจับเขาและไม่หยุดทรมานเขาจนกระทั่งเขาบอกชื่อของนักบวช นักบวชจึงถูกจับมา มีผู้กล่าวแก่เขาว่า: "จงกลับจากศาสนาของเจ้าเสีย!" เขาปฏิเสธ พวกเขาจึงเรียกเลื่อยมา แล้ววางมันลงตรงกลางศีรษะของเขา และเลื่อยเขาออกเป็นสองซีก จนร่างของเขาแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็พาข้าราชบริพารของกษัตริย์มา
แล้วกล่าวกับเขาว่า: "จงกลับจากศาสนาของเจ้าเสีย!" เขาปฏิเสธ
จึงวางเลื่อยไว้ตรงกลางศีรษะของเขา และเลื่อยเขาจนร่างแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็พาชายหนุ่มมา แล้วกล่าวกับเขาว่า:
"จงกลับจากศาสนาของเจ้าเสีย!" แต่เขาปฏิเสธ กษัตริย์จึงสั่งให้ทหารกลุ่มหนึ่งพาเขาไปยังภูเขาลูกหนึ่ง แล้วกล่าวว่า: "จงพาเขาขึ้นไปบนยอดเขา หากเขากลับใจจากศาสนาของเขาก็จงปล่อยเขา แต่ถ้าไม่กลับใจก็จงโยนเขาลงมา"พวกเขาจึงพาเขาไปและพาขึ้นสู่ภูเขา…”เขา (ชายหนุ่ม) จึงกล่าวว่า:“โอ้อัลลอฮ์! โปรดจัดการกับพวกเขาให้ข้าพเจ้าด้วยวิธีใดก็ได้ตามที่พระองค์ประสงค์เถิด” ทันใดนั้นภูเขาก็สั่นสะเทือน และพวกเขาก็ตกลงไปตายหมด ส่วนเขาเดินกลับมายังกษัตริย์ กษัตริย์จึงถามเขาว่า:“พวกพ้องของเจ้าหายไปไหน?”
เขาตอบว่า:“อัลลอฮ์ได้จัดการพวกเขาให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว”กษัตริย์จึงสั่งให้นำเขาไปให้กับกลุ่มทหารอีกชุดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า: “จงพาเขาไปลงเรือและพาเขาออกไปกลางทะเลหากเขากลับใจจากศาสนาของเขาก็ปล่อยเขา แต่ถ้าไม่กลับใจก็โยนเขาลงทะเลไป” เมื่อพวกเขาพาเขาไป และอยู่กลางทะเลแล้ว เขาก็กล่าวว่า:“โอ้อัลลอฮ์! โปรดจัดการกับพวกเขาให้ข้าพเจ้าด้วยวิธีใดก็ได้ตามที่พระองค์ประสงค์เถิด”เรือจึงพลิกคว่ำ และพวกเขาทุกคนจมน้ำตาย แต่ชายหนุ่มรอด และเดินกลับมาหากษัตริย์อีกครั้ง กษัตริย์จึงถามว่า:“พวกพ้องของเจ้าหายไปไหน?” เขาตอบว่า:“อัลลอฮ์ได้จัดการพวกเขาให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว”แล้วเขากล่าวกับกษัตริย์ว่า:“ท่านจะไม่มีทางฆ่าข้าได้ เว้นแต่ท่านจะทำตามที่ข้าสั่ง” กษัตริย์ถามว่า:“มันคืออะไร?”
เขาตอบว่า:“ท่านต้องรวบรวมผู้คนทั้งหมดในลานกว้าง
จากนั้นตรึงข้าไว้บนต้นไม้ แล้วหยิบลูกศดหนึ่งจากถุงเก็บลูกศรของข้าวางลูกศรไว้บนคันธนู แล้วกล่าวว่า: "ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ พระเจ้าของชายหนุ่ม"จากนั้นยิงมาที่ข้าหากท่านทำเช่นนี้ ท่านจะสามารถฆ่าข้าได้”กษัตริย์จึงรวบรวมผู้คนทั้งหมดในลานกว้าง
ตรึงชายหนุ่มไว้บนต้นไม้ หยิบลูกศรจากถุงของชายหนุ่ม
วางลูกศรลงบนคันธนูแล้วกล่าวว่า: “ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ พระเจ้าของชายหนุ่ม”จากนั้นเขาก็ยิงลูกศรไปยังชายหนุ่ม
ลูกศรได้ปักเข้าที่ขมับของเขาชายหนุ่มจึงเอามือจับที่แผล แล้วก็เสียชีวิตผู้คนจึงพากันกล่าวว่า:“เราศรัทธาต่อพระเจ้าของชายหนุ่ม!
เราศรัทธาต่อพระเจ้าของชายหนุ่ม! เราศรัทธาต่อพระเจ้าของชายหนุ่ม!” แล้วกษัตริย์ก็ถูกผู้คนมาแจ้งว่า: "ท่านเห็นสิ่งที่ท่านเคยหวาดกลัวหรือไม่? ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า สิ่งที่ท่านกลัวนั้นได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว — ผู้คนต่างก็ศรัทธา (ต่อพระเจ้าของชายหนุ่ม)" กษัตริย์จึงสั่งให้ขุดหลุมเพลิงตามทางแยกต่าง ๆ ของเมืองแล้วพวกเขาก็ขุดหลุม และจุดไฟให้ลุกโชน จากนั้นเขาประกาศว่า: “ผู้ใดที่ไม่ยอมละทิ้งศาสนาของตน จงโยนเขาลงไปในกองไฟนั้น หรือไม่ก็สั่งให้เขากระโดดลงไปเอง”พวกเขาก็ทำตามคำสั่ง จนกระทั่งมีหญิงคนหนึ่งมาพร้อมกับทารกของเธอ เธอเกิดลังเลที่จะกระโดดลงไปในกองไฟ ทารก (โดยอนุมัติของอัลลอฮ์) จึงกล่าวกับเธอว่า: "โอ้แม่ของฉัน! จงอดทนไว้เถิด แท้จริงท่านอยู่บนความจริง"
[เศาะฮีห์] - [รายงานโดย มุสลิม] - [เศาะฮีห์มุสลิม - 3005]
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกว่ามีกษัตริย์อยู่ท่ามกลางประชาชาติก่อนหน้าเรา และเขามีนักไสยศาสตร์คนหนึ่ง เมื่อโตขึ้นเขาก็กราบทูลกษัตริย์ว่า: ฉันแก่ขึ้นแล้ว ดังนั้นส่งชายหนุ่มมาให้ฉันเพื่อสอนเวทมนตร์ให้เขา พระราชาทรงส่งชายหนุ่มคนหนึ่งไปเรียนรู้จากเขา เมื่อชายหนุ่มไปหานักนักไสยศาสตร์ ก็มีนักบวชท่านหนึ่ง เขาจึงนั่งลงแลัวฟังคำของเขา เขาถึงกับตกใจ เมื่อนักนักไสยศาสตร์มาถึง โดยผ่านนักบวช เขาก็นั่งข้างกัน เขาก็ทุบตีเขาเพราะมาสาย จึงบ่นเรื่องนี้ให้นักบวชฟัง เขากล่าวว่า: หากคุณกลัวนักไสยศาสตร์ก็จงกล่าวว่า: ครอบครัวของฉันกักขังฉันไว้ และถ้าคุณกลัวครอบครัวของคุณ ก็จงกล่าวว่า: นักไสยศาสตร์ กักขังฉันไว้ ในขณะที่เขาเป็นเช่นนั้น เขาก็ได้พบกับสัตว์ขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นผู้คนไม่ให้ดำเนินการต่อไป และเขากล่าวว่า วันนี้ฉันรู้แล้วว่านักไสยศาสตร์คนไหนดีกว่าหรือนักบวชกว่ากัน? เขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นมา แล้วพูดว่า: โอ้พระเจ้า ถ้าคำสั่งของนักบวชเป็นที่รักของคุณมากกว่าคำสั่งของนักไสยศาสตร์ ก็จงฆ่าสัตว์ตัวนี้เพื่อให้ผู้คนได้เดินหน้าต่อไป เขาจึงขว้างมัน และฆ่ามัน ผู้คนจึงผ่านมันไปได้ เมื่อนักบวชมาถึง เขาจึงบอกเขา และนักบวชกล่าวแก่เขาว่า: โอ้ลูกเอ๋ย! วันนี้เจ้าประเสริฐกว่าข้าแล้ว แน่นอน เรื่องของเจ้าได้บรรลุถึงระดับที่ข้าเห็นแล้ว และแท้จริง เจ้าจะต้องถูกทดสอบ ดังนั้นหากเจ้าถูกทดสอบ อย่าได้บอกใครเกี่ยวกับข้าเลย"และชายหนุ่มสามารถรักษาผู้ที่ตาบอดแต่กำเนิด และผู้เป็นโรคเรื้อน และรักษาผู้คนจากโรคต่าง ๆ ได้ ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ ข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์ ซึ่งเคยตาบอด ได้ยินเรื่องของชายหนุ่ม เขาจึงนำของขวัญจำนวนมากมาให้ แล้วกล่าวแก่ชายหนุ่มว่า...: ของขวัญทั้งหมดนี้เป็นของคุณ ถ้าคุณรักษาฉันหาย เขากล่าวว่า: ฉันไม่ได้รักษาใคร มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รักษา หากคุณเชื่อในพระเจ้า คุณอธิษฐานต่อพระเจ้าและพระองค์ทรงรักษาคุณ และพระราชาได้มาถึง และกล่าวกับเขาว่า: ใครทำให้คุณมองเห็น? เขากล่าวว่า: พระเจ้าของฉัน เขากล่าวว่า: คุณมีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากฉันหรือ? เขากล่าวว่า: พระเจ้าของฉันและพระเจ้าของท่านคือ อัลลอฮ์ พระราชาจึงจับเขา แล้วทรมานเขาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเขายอมเปิดเผยเรื่องของชายหนุ่ม จึงมีการพาตัวชายหนุ่มมา พระราชากล่าวแก่เขาว่า: ลูกเอ๋ย เวทมนตร์ของเจ้าถึงระดับที่รักษาคนตาบอดและคนโรคเรื้อนได้แล้ว และเจ้าก็ลงมือทำตามนั้น ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า: แท้จริง ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ที่รักษาใครได้ การรักษานั้นเป็นของอัลลอฮ์เท่านั้น”พระราชาจึงจับตัวเขาไว้ และทรมานเขาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเขายอมเปิดเผยเรื่องของนักบวช (รอฮิบ) จึงมีการนำตัวนักบวชมา (ต่อหน้าราชา) แล้วกล่าวแก่เขาว่า: "จงละทิ้งศาสนาของเจ้าเสียเถิด" แต่เขาปฏิเสธ จึงมีการนำเลื่อยมา แล้ววางไว้ตรงกลางศีรษะของเขา จากนั้นเลื่อยร่างเขาออกเป็นสอง ซีก จากนั้นสหายของพระราชาก็ถูกนำตัวมา และได้รับแจ้งว่า จงออกจากศาสนาของท่าน แต่เขาปฏิเสธ จึงเอาเลื่อยไว้ตรงกลางศีรษะแล้วผ่าออกเป็นสองซีก จากนั้นจึงนำตัวชายหนุ่มมา แล้วกล่าวแก่เขาว่า: "จงละทิ้งศาสนาของเจ้าเถิด"แต่เขาปฏิเสธ กษัตริย์จึงมอบตัวเขาให้แก่กลุ่มชายจากหมู่พวกพ้องของตน ซึ่งมีจำนวนระหว่างสามถึงสิบคน เขากล่าวว่า: จงพาเด็กหนุ่มไปยังภูเขานั้น แล้วปีนขึ้นไปบนภูเขานั้น เมื่อพวกท่านไปถึงยอดเขา ให้เขาละทิ้งศาสนาของเขา หากไม่ ให้โยนเขาออกไป พวกเขาจึงไปที่ภูเขานั้น และปีนขึ้นไป เด็กชายกล่าวว่า: โอ้พระเจ้า โปรดปกป้องข้าจากพวกเขาด้วยสิ่งที่พระองค์ประสงค์เถิด แล้วภูเขาก็สั่นสะเทือนและเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง พวกเขาจึงตกลง และเขาก็เดินไปหาพระราชา พระราชา กล่าวกับเขาว่า: สหายของคุณทำอะไร? เขากล่าวว่า: อัลลอฮ์ได้ทรงคุ้มครองข้าพเจ้าจากพวกเขาแล้ว จากนั้น(พระราชา)จึงมอบเขาให้กับกลุ่มเพื่อนของเขา แล้วกล่าวว่า: จงพาเขาขึ้นเรือเล็กแล้วพาเขาไปที่กลางทะเล ให้เขาละทิ้งศาสนาของเขา หากไม่ ก็ให้โยนเขาลงทะเล พวกเขาจึงพาเขาไป และกล่าวว่า: "โอ้พระเจ้า โปรดปกป้องฉันจากพวกเขา ด้วยทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการ แล้วเรือจึงเกิดการอับปางและพวกเขาก็จมน้ำตาย และเขาก็เดินไปหาพระราชา พระราชา กล่าวกับเขาว่า: สหายของคุณทำอะไร? เขากล่าวว่า: อัลลอฮ์ได้ทรงคุ้มครองข้าพเจ้าจากพวกเขาแล้ว เด็กชายพูดกับพระราชาว่า: คุณไม่สามารถฆ่าฉันได้จนกว่าคุณจะทำตามที่ฉันสั่งให้คุณทำ เขากล่าวว่า: มันคืออะไร? เขากล่าวว่า : จงรวบรวมผู้คนในดินแดนอันโล่งแจ้ง และตรึงฉันบนไม้กางเขนบนต้นไม้ แล้วหยิบลูกธนูจากกระบอกธนูของฉัน แล้ววางลูกธนูไว้ที่ด้ามคันธนู แล้วกล่าวว่า: ด้วยพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเด็กคนนี้ หลังจากนั้น ยิงที่ฉัน เพราะถ้าท่านทำเช่นนั้นจะฆ่าฉันได้ ดังนั้นเขาจึงรวบรวมคนมาไว้ที่เดียวกัน แล้วตรึงไว้ที่กิ่งไม้ แล้วหยิบลูกธนูออกมาจากกระบอกธนู แล้ววางลูกธนูไว้ตรงกลาง ธนู แล้วกล่าวว่า: ด้วยพระนามของอัลลอฮ์พระเจ้าของเด็กหนุ่มคนนี้ แล้วยิงมันและลูกธนูจึงถูกยิงไปที่ขมับของเขาระหว่างตาและหูของเขาดังนั้นเขาจึงเอามือของเขาวางไปที่ขมับของเขา ตำแหน่งของลูกธนู และเขาก็เสียชีวิต ผู้คนกล่าวว่า: เราศรัทธาในพระเจ้าของเด็กชายนี้ เราศรัทธาในพระเจ้าของเด็กชายนี้ เราศรัทธาในพระเจ้าของเด็กชายนี้ พระราชาจึงถูกทูลว่า: ท่านเห็นหรือยังสิ่งที่ท่านเคยหวาดกลัว?? พระราชาจึงสั่งให้ขุดร่องลึกใหญ่ ๆ ตามประตูทางเข้าเมือง แล้วจุดไฟเผาในร่องเหล่านั้นให้ลุกโชติช่วง จากนั้นเขากล่าวว่า: "ผู้ใดที่ไม่ยอมละทิ้งศาสนาของตน จงโยนเขาลงในกองไฟนั้น" พวกเขาจึงกระทำตามคำสั่งของกษัตริย์ จนกระทั่งหญิงคนหนึ่งมาพร้อมกับลูกน้อยของนาง นางหยุดยืนอยู่กับที่ ไม่ยอมก้าวเข้าไปในกองไฟ และลังเลใจไม่อยากเข้าไป ลูกของนางจึงกล่าวกับนางว่า: โอ มารดาเอ๋ย จงอดทนเถิด เพราะท่านอยู่บนความจริง